19 ตุลาคม 2566 10:54 น
สยามออนไลน์
ความบันเทิง
เผยอีกด้านของนางเอก “มิว-นิษฐา คุณเปรมกิจ” ที่ไม่มีใครรู้ จากอดีตถึงปัจจุบันชีวิตคุณแม่ลูก 2 เปลี่ยนไปและได้พบกับความสุขในชีวิตที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเมื่อคลอดบุตร ประสบการณ์ช่วยให้เราปล่อยวางความเจ็บปวดได้จนกว่าฉันจะพูดได้อย่างตรงไปตรงมาว่าตอนนี้ฉันไม่รู้สึกโกรธหรือเกลียดชังใครก็ตามใน WOODY FM
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากไหม?
มิว: มีเยอะมาก และตัวละครก็ใหญ่กว่าด้วย เข้ามาวงการนี้ครั้งแรกก็รู้สึกว่าอยากให้โอกาสตัวเองบ้าง จริงๆ แล้ว หมิวไม่ใช่คนกล้าแสดงออกและไม่อยากเป็นนักแสดง เมื่อโอกาสเปิดขึ้นฉันก็เข้ามาและอยากลองดู เราต้องเจาะลึกถึงความตั้งใจของเราเองเพราะว่าเราเขินอายมากกับพลังงานที่เราใช้ในการแสดง จนถึงตอนนี้เหมียวยังไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ได้อย่างไร
มีความเขินอายมาตั้งแต่เด็กหรือไม่?
เหมียว : ตั้งแต่เด็กๆ คือ ถ้าเราอยู่ในห้องเรียนแล้วครูสอนอยู่ก็มีคำถามในใจว่าจะทำยังไง กล่าวคือฉันไม่กล้ายกมือจนเลิกเรียนเลยถามครูนอกชั้นเรียนหรือถามเพื่อนนอกชั้นเรียน แม้แต่ในงานของโรงเรียน ฉันอยากจะเป็นคนที่ไม่โดดเด่น ฉันจะเป็นคนธรรมดามาก
เมื่อไหร่จะเข้าสู่วงการนี้? ทำไมคุณถึงยอมแพ้? ใครบ้างที่ขี้อายเกินกว่าจะยอมรับสิ่งที่จำเป็นในการเป็นดารา?
มิว : อะไรรับได้ตอนนั้น? เพราะผมได้เงินตอนแคชโฆษณาอันแรก (หัวเราะ) เลยรู้สึกเหมือนได้เงินภายในวันเดียว เพราะตอนนั้นเราต้องขอเงินพ่อแม่ ฉันเริ่มรู้สึกว่าฉันสามารถหาเงินได้ มันจะไม่เจ็บถ้าเราลองดูว่ามีโอกาสจะเข้าไหม
ตอนเป็นนักแสดงช่อง 3 ยังอายอยู่ไหม?
เมะ: เขิน. แม้ทุกวันนี้เราก็ยังรู้สึกเขินอายและตื่นเต้นเมื่อต้องพบปะผู้คนมากมาย การได้รับความสนใจในงานถือเป็นไฮไลท์ที่แท้จริง มันยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน อาจเป็นเพราะเราไม่มั่นใจในตัวเองและขี้อายในตอนนั้นจนต้องเดินคนเดียวไปทุกที่ ฉันรู้สึกเขินอายมาก เป็นเรื่องที่ต้องปรับตัวกันมากเมื่อถึงวันที่เราต้องเล่นเป็นนักแสดงหน้ากล้อง ฉันคิดว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึก มาลองดูกัน อย่างสุดความสามารถ มันดึงพลังงาน ใช้ความกล้าหาญในตัวคุณ ทำให้สามารถผ่านภารกิจต่างๆ
ตอนที่เรามีลูกคนแรก เราคุยกับเซนต์เกี่ยวกับลูกที่เราเลี้ยงมาอย่างไร?
มิว: เป้าหมายของเราคือการทำให้ลูกๆ ของเรามีความสุข ไม่ว่าเขาจะอยากทำอาชีพอะไรหรืออยากเป็นใครก็ตาม ความต้องการขั้นพื้นฐานของเขาคือการเป็นคนที่มีความสุขและมีจิตใจดี และเซนต์ก็จะพูดเสมอว่าหมิวเป็นคนโชคดีมาก ชีวิตของหมิวไม่ได้เต็มไปด้วยความขึ้นๆ ลงๆ แต่ฉันเป็นคนประเภทที่ชอบสนุกทุกวัน และหมิวเป็นคนไม่คิดอะไรมาก แค่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เขาอยู่กับหมิวเพียงสองหรือสามวันเท่านั้น แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนเป็นคนไม่มีความเครียด เช่นเดียวกับคนที่มีความสุขอยู่เสมอ เซนต์มักจะพูดว่าหมิวเป็นคนมีบุญ เขายังต้องการให้ลูก ๆ ของเขาได้รับสิ่งนี้จากหมิวด้วย การมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่คนที่พยายามจนไม่มีความสุข
จะปล่อยความเจ็บปวดได้อย่างไร?
มิว : มิวเป็นคนอ่อนไหวมาก จริงๆ เมื่อเจอเรื่องบางเรื่องก็จะร้องไห้เร็วมาก เพราะเขาร้องไห้เร็วมากเหมือนกับว่าเขาถูกปล่อยตัวเร็วมาก ไม่ใช่ว่าเราต้องเข้มแข็งไม่ร้องไห้เมื่อเจอความเจ็บปวด เราต้องเข้มแข็ง ถ้าเราไม่เข้มแข็งก็ยอมรับตัวเองให้เสียใจในเวลาที่ควรจะเสียใจได้เราก็จะร้องไห้ หมิวมี มีคนมากมายรอบตัวเขาที่ให้การสนับสนุน เป็นการดีที่มีพ่อแม่ มีครอบครัว มีพี่นักบุญ ตอนนี้เรามีลูกเป็นของตัวเองแล้ว เรารู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกล้อมรอบด้วยเกราะป้องกันและเรามีความสุขมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอกลับถึงบ้าน เราเกือบลืมความเจ็บปวดที่เราต้องเผชิญในวันนั้นไปแล้ว นั่นทำให้เราปล่อยวางได้เร็วมาก เพราะหมิวเป็นคนที่เข้าใจโลกบางทีคนนี้อาจจะทำกับเราแบบนี้ก็ได้ พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ เพราะนั่นอาจเป็นวิธีที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา อาจมีความจำเป็นเช่นนี้ เขาจึงมาทำแบบนี้กับเรา เมื่อเราเข้าใจพระองค์แล้วเราก็ยอมรับเพื่อเราจะปล่อยวางได้อย่างง่ายดาย คนชอบถามมิวว่าเขาเคยโกรธใครไหม หมิวบอกได้เลยว่าหมิวไม่ได้ ฉันคิดว่าชีวิตของหมิวเป็นเรื่องง่าย คุณมีความสุขและไม่ต้องการอะไร หรือคุณหดหู่อยู่ข้างใน? มันไม่รู้สึกแบบนั้น อาจจะด้วยประสบการณ์และการทำงานหลายปี ดังนั้นผมคิดว่าอะไรก็ตามเข้าไปก็จะออกมา
อีกด้านของ หมิว นิษฐา ที่ไม่มีใครรู้จัก ?
เหมียว : ตอนเป็นวัยรุ่นทุกคนคงอยู่ในวัยนั้นแล้ว โชคดีที่พ่อแม่ของหมิวเลี้ยงดูพวกเขาอย่างเข้าใจ เขาไม่ได้ยึดมันไว้จนต้องอยู่ภายในเฟรมโดยสมบูรณ์ ในช่วงวัยรุ่น เด็กๆ ต้องการเดินทาง เขารู้สึกว่าเขาอยากจะไปเขาก็ไป เขาตรงไปรับเขากลับบ้านซึ่งปลอดภัยกว่า เช่นถ้าไม่ปล่อยลูกไปก็ต้องวิ่งหนีไปเที่ยว เขาไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปไหน
วันนี้ไม่มีโอกาศได้เที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้วเหรอ?
มิว: ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสนะ ยังมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ฉันไม่อยากไป ฉันไม่อยากออกไปไหนเมื่อฉันมีลูก ตั้งแต่ฉันแต่งงาน การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของฉันในแต่ละวัน แต่ตอนนี้มีลูกแล้วอยากกินที่บ้านไม่ไปไหน ถ้าวันหนึ่งคุณออกไปข้างนอกแล้วต้องชวนใครสักคนออกไป คุณต้องออกไปข้างนอก เราแทบจะไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านเลยถ้าไปกันแค่สองคน
คุณได้เรียนรู้อะไรในฐานะแม่?
มิว : คนที่ไม่เคยเป็นแม่จะไม่มีวันเข้าใจ ฉันไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของแม่มาจากไหน คือถ้าเราย้อนกลับไปก่อนมีลูกเรายังนึกภาพความเป็นแม่ไม่ออกเลย เขาไม่สามารถมาได้จนกระทั่งวันที่เขาเกิดและเราได้เห็นหน้าของเขา เราสามารถทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ เขาคือความสุขที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน ก่อนจะมีลูก หมิวเป็นคนที่ชอบออกจากบ้าน โดยส่วนใหญ่พวกเขาจะออกไปหาความสุขข้างนอก ช้อปปิ้ง และพบปะเพื่อนฝูง แต่วันนี้เมื่อเรามีลูกความสุขคือการตื่นขึ้นมาเห็นลูกแล้วรู้สึกมีความสุข นี่คือความสุขที่หมิวไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความรักที่ไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ ฉันชอบเวลาที่ลูกๆ โทรหาแม่ เช่น เมื่อวานฝนตกหนัก เวลาพูดถึงลูกๆ ฉันคิดว่า…ฉันไม่อยากร้องไห้ เมื่อเราขึ้นรถและชูร่มให้ลูก (น้ำตาไหล) ฉันก็ชูร่มให้เขาขึ้นรถ จากนั้นเขาก็ถามแม่ว่าเธอเปียกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมปรารถนา (หัวเราะ) เลยบอกว่าถ้าไม่ใช่แม่ก็คงไม่มีทางรู้ว่าจะรู้สึกยังไง แค่เพียงว่าหัวใจของฉันปุยมาก
ลูกคนที่สองวางแผนกับเซนต์หรือเปล่า? หรือทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ?
มิว : ในแผนเราแพลนไว้ 2 คนในตอนแรกค่ะ คนนี้ขอให้ไม่ห่างกันนัก เช่น หมิวและน้องสาวของเราห่างกันสองปี ซึ่งหมิวรู้สึกว่าเป็นวัยที่ดี ลูกของหมิวจะแยกทางกันประมาณ 2 ปี ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนและเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้หมิวขัดแย้งเหมือนเราเคยผ่านเรื่องคล้ายๆ กันมาก่อน ฉันจึงรู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เราสงบแล้ว เพราะเราดูแลลูกคนแรกด้วย เรามีประสบการณ์แล้ว มันจะมีอะไรคล้ายกับต้นฉบับ เราควรจะสามารถจัดการกับมันได้ เช่น คนแรกยังใหม่มาก เลยต้องเตรียมตัวกันเยอะมาก
ติดตาม Woody FM ได้ทาง Podcast Channel: WOODY FM, Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 19.00 น.