14 พฤศจิกายน 2566 15:33 น
สยามออนไลน์
ความบันเทิง
สาวลูกทุ่ง “จะ-น้องภาณี มหาดไทย” พูดครั้งแรก! ในรายการ WOODY INTERVIEW สาเหตุของการเลิกราถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ หลังประกาศยุติความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม “แจ็ค-ธนพร สัมมาพรต” ก็ยุติความสัมพันธ์ 7 ปี นับจากนี้หากมีความสัมพันธ์ใหม่หากยังไม่มีความมั่นใจก็จะไม่เริ่มและพูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้คุณอยากออกจากวงการเพราะถูกแฟนๆ ตะโกนใส่ไมโครโฟนหน้าเวที
ชีวิตตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? มีอะไรที่ทำให้เราตื่นเต้นและมีความสุขได้ทุกวันมั้ย? แสดงว่าคุณสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่หลากหลายทุกวันใช่ไหม?
จ๋า น้องภาณี : ค่ะ ทุกวันค่ะ
จุดยืนของคุณในการบอกลาแฟนๆ ในครั้งนี้ชัดเจนมาก เราได้เรียนรู้อะไรจากอดีตบ้าง?
จ๋า นนพรรณี : คือก่อนประกาศ เราต้องคิดให้มาก เพราะคบกันมา 7 ปี และเคยเลิกกันครั้งหนึ่ง ครั้งนี้แน่ใจแล้วเหรอ? เพราะถ้าออกไปเทศน์ทันที! แล้วเราจะกลับด้วยกัน เราก็เป็นเหมือนเด็กเล่นและขายของ เราสองคนโตกันแล้ว ครั้งนี้ฉันคิดมาก ฉันและเขาเรารักกันมากจริงๆ ฉันรักเขาและเขาก็รักฉัน แต่เราไม่สามารถอยู่ร่วมกันด้วยความรักเพียงอย่างเดียวได้ เหมือนวันนี้ความสัมพันธ์ของเราจบลงอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ให้กำลังใจกันเหมือนพี่น้องกัน ดีที่ความรักครั้งนี้ทำให้ฉันรู้สึกชัดเจนแต่ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตจะชัดเจน หมายความว่าต่อจากนี้ไป สำหรับความรัก รู้สึกว่าถ้าเราไม่มั่นใจในตัวใครเลยก็ไม่มีทางที่จะออกมาชี้แจงให้กระจ่างเหมือนคนแก่ได้ ฉันไม่ต้องการที่จะทำเช่นนี้อีกต่อไป
แต่เราเติบโตและเรียนรู้ วันนั้นเมื่อสิบปีก่อนและวันนี้คุณยังคงเป็นคนละคน อันไหนคือความจริง?
จา นนภาณี: ถูกต้องเลย แต่เราต้องรู้ว่าความจริงและความสบายใจของเราบางครั้งไม่ตรงกัน ความจริงก็คือฉันกำลังคบกับผู้ชายคนนี้อยู่ แต่โลกโซเชียลมีเดียในปัจจุบันไม่ได้ทำให้เราสบายใจ เมื่อมีข่าวเกิดขึ้น ก็จะมีความคิดเห็นเชิงลบมากกว่าความคิดเห็นเชิงบวก แล้วเราต่างหากที่ต้องอ่าน เหมือนคนโรคจิตที่ชอบอ่านหนังสือ ฉันจึงคิดว่าไม่ว่าความรักอย่าทะเลาะกันอีกต่อไป หรือบางทีพวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันด้วยการโพสต์เรื่องราวเท่านั้น นี่คือข่าว! ฉันโดนดุเลยรู้สึกเหมือนว่าถ้าไม่เปิดเผยว่าตัวเองเป็นใครก็คงจะไม่มีการติดต่อใดๆอีกในอนาคต
คุณทั้งสองคิดอยู่นานก่อนที่จะตัดสินใจประกาศหรือไม่?
จ้า น้องภาณี: บอกตามตรงว่าคิดอยู่นานเลย นี่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย ตอนแรกเราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็ง แต่พอจะโพสก็เข้าลบแล้วส่งไปบอกมันจะโพสประมาณนี้ ต้องทำยังไงถึงจะจบในกระทู้เดียว? เราไม่อยากไปที่อื่นเพื่อพูดคุย ไม่ว่าฉันหรือเขา เพราะเราไม่อยากสัมภาษณ์ใดๆ ก็จะมีรายละเอียดอยู่บ้าง
เป็นเดือนหรือเปล่า?
จ๋า หนองพะนี : เดือนนึงแล้ว
คุณสองคนผ่านทุกอย่างมาแล้ว แถมยังเป็นคู่รักกันเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ณ วันนี้ น่าจะจับมือกันได้ตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรแน่นอน?
จ๋า น้องปณีย์ : ใช่ครับ คำว่าเพื่อนนั่นเอง อยู่เป็นเพื่อนกันดีกว่า เพราะผมบอกว่าความรักทำให้เรารักกันมากจนตายเพื่อกัน แต่ท้ายที่สุดแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อชีวิตแต่งงาน มีเรื่องราวมากมายที่คุณไม่ชอบ มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้คนอาจบอกว่าฉันไม่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันไม่สามารถทำมันได้. หรือฉันบอกว่าฉันไม่สามารถบอกเขาได้สิ่งนี้ เขาทำแบบนั้นเพื่อฉันไม่ได้ บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อย มันเยอะมากแต่เมื่อเราพูดคุยเราไม่สามารถทำมันได้ เราไม่สามารถไปด้วยกันด้วยความเร็ว 50/50 ได้ ดังนั้นก็แค่คุยกันและปล่อยไว้อย่างนั้น มาเป็นเพื่อนกัน. ฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเพื่อนว่าฉันไม่ชอบสิ่งนี้ก็อย่าทำ บางทีเพื่อนทำไม่ได้แต่เรายังเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นคำว่าเพื่อนจึงหมายถึงเดินไปด้วยกันเหมือนเพื่อน
ตอนนี้เราอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ในชีวิตโสดของ จ๋า หนองพะนี บ้าง การต้องพึ่งพาตนเองหรือสามารถอยู่กับตัวเองได้นั้นเป็นความท้าทายที่แตกต่างกัน ฉันคิดว่าคุณทำได้ใช่ไหม?
จ๋า น้องปณีย์: ส่วนที่ท้าทายที่สุดคือตอนที่เรามีหน้าที่ร้องเพลงเท่านั้น การมีพี่ชายเป็นเรื่องง่ายๆ รถจะต้องขับเข้าศูนย์ เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการประกันภัยรถยนต์ เขาดูแลทุกอย่างให้เรา แต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้เลยแต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา
ตอนนี้เราไม่มีผู้ช่วยดูแลเราแล้วเหรอ?
จ๋า หนองพะนี: ใช่ค่ะ มีคนอยู่รอบตัวฉัน แต่เราไม่เคยให้อะไรแบบนั้นแก่เขาเลย ทุกวันนี้ผู้คนรอบตัวคุณเริ่มต้องการความช่วยเหลือ
หลายครั้งที่เราเห็นรูป จ๊ะ น้องภาณี ที่เป็นคนเข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะเจออะไรมาก็ทนได้ ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ แต่บางทีก็มีด้านที่อ่อนไหวมากบอกหน่อยได้ไหม?
จ่า น้องปณีย์ : โอ้ย มาถึงจุดที่ร้องไห้กับใครไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือพ่อแม่ของฉันเพราะฉันรู้สึกว่าถ้าฉันร้องไห้พ่อแม่จะกังวลเกี่ยวกับฉัน กับฉันฉันไม่สามารถร้องเพลงได้ เพราะฉันรู้สึกเหมือนเป็นผู้นำ จะนั่งร้องไห้กับทุกคนไม่ได้ สุดท้ายฉันก็ทำได้แค่ร้องไห้คนเดียว เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าทำไมต้องเป็นฉัน? เรื่องนี้ไม่ควรเกี่ยวกับเราเลย ฉันทำได้แต่ร้องไห้คนเดียวในห้องของฉัน การเปลี่ยนแปลงในสังคมปัจจุบันและตัวเราเอง ในอดีต เมื่อเราเป็นนักร้องลูกทุ่ง เราจะแสดงในงานวัด งานเทศบาล และห้องรับรอง และเป้าหมายที่ชัดเจนของเราคือการร้องเพลง เซ็กซี่ เต้น แต่ตอนนี้เรามีเพลงแล้ว คอของเราก็แห้งผาก เป้าหมาย ลูกค้าเปลี่ยนไป แฟนเรากลายเป็นคนชอบดื่ม ตอนนั้นผมคิดจะเล่นในบาร์ที่มีคนชอบดื่มประมาณ 500-1,000 คน
และเมื่อถึงเวลาตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตี 1 คนส่วนใหญ่ก็จะหมดสติในขณะนั้น คุณจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลก ได้งานแล้วกลับมารู้สึกเหมือนไม่อยากอยู่วงการนี้เลย พวกเขาส่งฉันลงสนามเวลา 01.00 น. บาร์ที่นั่นปิดเวลา 04.00 น. ฉันเข้ามาฟังเพลงแรกทันที! มีคนเข้ามาดุฉัน ให้รางวัลฉัน 500 บาทแล้วบอกฉันว่าคุณต้องการอะไร – เกิดอะไรขึ้นช้าไป? ฉันรอคุณมาตั้งแต่เก้าโมงเย็นแล้วเราก็ขึ้นเวทีแล้ว อะไรต่อไป? กรุณาผ่อนคลาย. เรารู้ว่าเขาหมดสติ พวกเขาไปส่งฉันตอนตี 1 ไม่ใช่เพราะคุณมาสาย เอ่อ… คุณดุฉันแบบนี้ และสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้วเท่านั้น เช่น ฉันจะรับมือและเดินหน้าต่อไปอย่างไร? เพราะถ้ามันเกิดขึ้นฉันคงจะได้เดินบนเวทีและไม่ร้องไห้อีกต่อไป ฉันรู้สึกเหมือนฉันล้มเหลว ฉันก็เลยบอกว่าพี่ชาย ฉันกำลังพูดใส่ไมโครโฟน เขายังคงพูดคำพูดของเขาอย่างถูกต้อง และเราก็ดึงไมค์กลับ และฉันก็ขอโทษ ฉันเป็นแค่พนักงาน พวกเขาจ้างฉันไปเล่นตอนตี 1 และฉันต้องตื่นตอนตี 1 มีคนจากร้านการ์ดมาพาเขาไป แต่เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้สึกเหนื่อยไม่อยากอยู่ในวงการอีกต่อไป
แล้วจะจัดการกับอารมณ์นี้อย่างไร?
จ๋า หนองพะนี : กลับมาสวดมนต์ ฉันหมายถึงฉันสวดมนต์ทุกคืนเพื่อนอนหลับ สวดมนต์มา8-9ปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ในบาร์แห่งนี้ ฉันจะเมาทุกครั้ง ฉันสวดมนต์ในรถก่อนไปร่วมงาน แต่วันนั้นเพราะผมไม่อยู่ในอารมณ์เพลงแรกผมเลยไม่ดื่มเลย เหมือนเราทนไม่ไหวก็ขึ้นรถไปร้องไห้ หลังกลับมาร้องไห้ในห้องน้ำควรทำอย่างไร? ฉันอยากจะกรีดร้อง ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับเราทีละน้อย? เขาสูดลมหายใจแล้วออกไปที่ห้องสวดมนต์เพื่อสวดมนต์ แล้วไปคุยกับพ่อเฒ่าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพทำไมต้องอยู่กับเรา? นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา แต่มันก็ไม่ได้หายไปเลยเมื่อเราพูดเรายังคงรู้สึก
ก่อนที่จะมีเพลงคอแห้ง คุณกำลังเล่นตอนดึก คุณยังมาไม่ถึงเหรอ? กับกลุ่มคนที่หมดสติใช่ไหม?
จ้า น้องภาณี : ค่ะ แต่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ก่อนที่เพลงแห้งๆ จะดังขึ้น บางครั้งฉันก็ไปเที่ยวตามวัดและบาร์ แต่ 80% เป็นคนที่มาดูเราร้องเพลงและดูเราแสดง และอีก 20% อาจเป็นคนที่ดื่มและปาร์ตี้ แต่ตอนนี้ทุกคนที่มาก็มาเพื่อดู ฉันจะเย็ดเขาตอนนี้ ฉันต้องกินข้าวก่อนจึงจะทำเนื้อปลาได้ ปัจจุบันคน 80% มาดื่ม และอีก 20% มาเพื่อดูและร้องเพลง
แล้วเราพอใจกับตำแหน่งนี้ไหม?
จ๋า น้องปณีย์: เยี่ยมมาก แต่แล้วเราก็เจอผู้ชายคนนั้น เราไม่เก่งเลย. แล้วเราจะตัดสินทุกคนจากคนนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันรู้สึกว่ามีคนใจดีกับเรามาก ในสองปีที่ผ่านมาเราเล่นมาแล้วกว่า 600-700 รายการ และพบปะผู้คนนับหมื่น แสน หรือแม้แต่ล้านคน มีคนดีกับเรามากมาย แต่ทำไมเราถึงโฟกัสไปที่คน ๆ เดียว? เราก็จะนั่งถามตัวเองว่าเปลี่ยนใจ
ภาระงานมีมาก มีการทับซ้อนกันหรือไม่?
จ๋า น้องปณี : เราจะวิ่งเต็มกำลังไม่เกิน 3 รายการ แต่ถ้าเราวิ่งเต็มกำลังบ่อยๆ ก็จะเหลือแค่ 2 รายการเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่างานแรกจะเจอสถานการณ์แบบไหน ถ้าเราถือว่างานแรกเป็นงานภายใน เราก็จะไม่รับงานที่สองเลย เพราะการทำงานภายในจะต้องมีความสุข วันนี้เป็นวันสำหรับผู้ที่กำลังมองหามัน มาร้องเพลงกันเถอะ แต่คุณต้องมีความสุขกับฉัน วันนี้ภาพลักษณ์ของเราเปลี่ยนไป ช่างเป็นความบันเทิงที่สมบูรณ์
แล้ววันนี้คุณจะจัดการสติและสติภายในของตัวเองอย่างไร?
จ๋า หนองพะนี : ถ้าเราอ่าน 9 เพลงแรกเราจะไม่ดื่มเลย เรารู้สึกว่าคน 80% ดื่ม และมีคน 20% ที่ไม่ดื่มและอยากฟังเพลง จริงอยู่ที่ต้องเล่นแค่ 1 ชั่วโมง แต่เล่น 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะช่วง 30-40 นาทีแรกคุณฟังเพลง แต่หลังจากเพลงที่ 9 เราก็เริ่มสนุกกัน เพราะถ้าคุณดื่มสามเพลงแรกคุณจะร้องเพลงไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรักษาสมดุลไว้
สามารถติดตาม WOODY INTERVIEW ได้ที่ Facebook : Woody , Youtube : Woody